ความจำเสื่อม
ความจำเสื่อม

สมองเสื่อม คืออะไร?
โรคสมองเสื่อมหรือภาวะสมองเสื่อม เป็นภาวะความผิดปกติของสมองที่แสดงว่าผู้ป่วยมีระดับความสามารถทางความคิดและการแสดงออก คือ สมาธิ ความจำ ภาษา ความสามารถในการบอกทิศทาง การรับรู้วันเวลาสถานที่ การคิดคำนวณ การใช้เหตุผลและการตัดสินใจ ความคิดเชิงนามธรรม เป็นต้น อย่างน้อย 2 ด้าน เสื่อมถอยลงจากเดิมอย่างชัดเจน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
สมองเสื่อมเหมือนปัญญาอ่อนหรือไม่?
ในภาวะสมองเสื่อม ในผู้ป่วยจะมีระดับสติปัญญาเสื่อมถอยไปจากระดับเดิมที่เคยเป็นปกติมาก่อน ซึ่งต่างจากภาวะปัญญาอ่อนหรือmental retardationที่ผู้ป่วยปัญญาอ่อนจะมีประวัติการพัฒนาการช้าและมีระดับสติปัญญาบกพร่องตั้งแต่กำเนิด อาการหลงลืมหรือความจำเสื่อมเพียงอย่างเดียวอาจจะเป็นอาการนำของภาวะสมองเสื่อม หรือพบได้เป็นปกติในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
สมองเสื่อมไปแล้ว รักษาให้ดีขึ้นได้หรือไม่?
ภาวะนี้มีทั้งแบบที่รักษาได้และไม่ได้ คือ
1. ภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุที่รักษาให้หายได้ ได้แก่ ขาดวิตามินบี12 ภาวะธัยรอยด์ฮอโมนต์ต่ำกว่าปกติ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองซึ่งมักจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ เนื้องอกสมองบางชนิด เป็นต้น
2. ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากกระบวนการเสื่อมที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ได้แก่
- โรคอัลไซเมอร์ เป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่โรคนี้จะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุโดยมีอายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยง
- ภาวะสมองเสื่อมจากปัญหาหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกซึ่งผู้ป่วยจะมีปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดปัญหา หลอดเลือดตีบ เช่น เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง ที่ควบคุมได้ไม่ดีและเคยมีอาการอัมพฤกษ์หรืออัมพาต (stroke)มาก่อน
- ภาวะสมองเสื่อมที่มีอาการพาร์กินสันหรือการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติร่วมด้วย ซึ่ง อาการพาร์กินสันและความจำเสื่อมร่วมด้วยเป็นอาการสำคัญ บางรายอาจมีอาการเห็นภาพหลอน - ภาวะสมองเสื่อมจากเหตุอื่น ได้แก่ สมองส่วนหน้าเสื่อม ซึ่งทำให้บุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไปเช่น มีพฤติกรรมถดถอยเป็นเด็ก ขาดความยับยั้งชั่งใจ แสดงออกทางเพศไม่เหมาะสม ชอบทำอะไรซ้ำๆ เป็นต้น หรือมีปัญหาเรื่องการใช้ภาษาเป็นอาการนำ หรือโรคสมองเสื่อมจากเชื้อไวรัสโรคเอดส์ หรือการติดเชื้อจากวัวที่เรียกว่าโรควัวบ้า เป็นต้น
โรคอัลไซเมอร์ ที่พูดถึงกันบ่อยๆ จริงๆแล้วเป็นยังไง?
โรคอัลไซเมอร์ คือโรคของสมองที่มีการเสื่อมลงเรื่อยๆ เริ่มจากสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ การเรียนรู้ ต่อมาถึงความคิดตลอดจนเหตุผล การตัดสินใจ การสื่อสาร และในที่สุดการเสื่อมลงเรื่อยๆนี้ก็จะมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างชัดเจนเมื่อถึงระยะนี้จะพบว่าผู้ป่วยดูมีบุคลิกเปลี่ยนแปลงไป บางคนเคยเป็นครูที่ดุและเข้มงวด มาก กลับร่าเริง ใจดีมีอารมณ์ขัน แต่ส่วนใหญ่จะพบว่าหงุดหงิดง่ายขึ้น ขี้บ่น อารมณ์ร้อน ระแวงง่ายโดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ บางคนมีหูแว่ว ไม่อยูในภาวะความเป็นจริง ในระยะสุดท้ายของโรคผู้ป่วยจะ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แม้การดูแล ตัวเองอย่างง่ายๆ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว แปรงฟัน กินข้าว การพูดคุยบอกสิ่งที่ต้องการต่างๆ ผู้ป่วยอัลไซเมอร์มีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 6-8 ปีหลังจากมีอาการความจำเสื่อม
โรคนี้มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงชื่ออัลไซเมอร์?
คงเป็นที่รู้จักกันอย่างติดปากว่าเมื่อหลงลืมก็กลัวจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ จริงๆแล้วที่มาของชื่อโรคเริ่มต้นมาจากศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาชาวเยอรมันที่ได้เผยแพร่เป็นครั้งแรก ในปีค.ศ.1906 ถึงลักษณะสมองส่วนหน้าของผู้ป่วยหญิงวัย 55 ปี ที่เริ่มป่วยด้วยอากา รหลงลืม ตามมาด้วยสูญเสียการรับรู้เวลาสถานที่ มีหูแว่วและเสียชีวิตใน 5 ปีต่อมา ผลการตรวจชิ้นเนื้อแสดงถึงเนื้อสมองที่ฝ่ออย่างผิดปกติ ที่น่าจะจะพบแต่ในคนแก่ และพบมีแท่งโปรตีนแปลกมากมายแทรกในเซลสมอง ซึ่งการวินิจฉัยตามลักษณะนี้ยังคงใช้ยึดถือเป็นบรรทัดฐานจนถึงปัจจุบันและได้เรียกโรคของสมองชนิดนี้ตามผู้ค้นพบคนแรกว่า “ โรคอัลไซเมอร์ ”
แพทย์จะรู้ว่าใครเป็นโรคสมองเสื่อมโดยตรวจจากอะไรบ้าง?
การวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อมต้องอาศัยประวัติจากผู้ป่วยและญาติที่ใกล้ชิด เนื่องจากผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ยกเว้นผู้ป่วยที่มีอาการความจำเสื่อมเป็นอาการนำมักจะรู้ตัวดีและมีความกังวลกับอาการหลงลืมที่เกิดขึ้น การตรวจประเมินภาวะทางจิต เช่นภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลซึ่งผู้ป่วยอาจจะมาพบแพทย์ด้วยเรื่องความจำเสื่อม การตรวจร่างกายและตรวจทางระบบประสาท )หรือแบบทดสอบประสาทจิตวิทยาเพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยมีอาการสมองเสื่อมหรือไม่ และวินิจฉัยแยกโรคเบื้องต้นถึงสาเหตุของอาการสมองเสื่อม การเจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือส่งเอ็กเรย์ภาพถ่ายรังสีของสมอง เช่น CT หรือ MRI เป็นต้น เพื่อหาสาเหตุและให้คำนิจฉัยที่ชัดเจน
โรคสมองเสื่อมรักษาอย่างไร?
รักษาตามสาเหตุของโรค แม้ว่าการศึกษาในขณะนี้แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่แพทย์มุ่งเน้นไปที่ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรค เช่น โรคของหัวใจและหลอดเลือด โรคไขมันสูง โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บหรือมีเหตุกระทบกระเทือนต่อสมอง รวมถึงการเผชิญอยู่ในภาวะเครียดเรื้องรัง แล้วควบคุมปัจจัยเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง ในกรณีที่เป็นภาวะสมองเสื่อมที่ความเสื่อมเกิดขึ้นโดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน เช่นโรคอัลไซเมอร์ ยังไม่มีแนวทางในการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่จะเน้นการบำบัดรักษาตามอาการ แต่ได้มีการพัฒนายาเพื่อชะลอโรคให้ช้าลง รวมถึงการควบคุมอาการทางจิตหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป การให้ยาเพื่อช่วยปรับความจำให้ดีขึ้น กินได้นอนได้ ไม่มีอาการก้าวร้าววุ่นวาย และร่วมกับญาติผู้ดูแลทำการดูแลช่วยเหลือ เช่นการปรับสิ่งแวดล้อม และปรับพฤติกรรมผู้ป่วย ที่ขาดไม่ได้คือการให้ความรู้และคำแนะนำกับผู้ดูแล เพราะโรคนี้คนไข้จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ดูแลอย่างมาก ผู้ดูแลมีบทบาทสำคัญ จะต้องเข้าใจและอดทนอย่างสูง การให้ความรู้เรื่องตัวโรครวมถึงวิธีแก้ปัญหาที่พบบ่อยต่อผู้ดูแล จะช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ใกล้เคียงเดิมที่สุด โดยไม่ริดรอนในศักดิ์ศรีของผู้ป่วย
|
|
รอบรู้เรื่องสุขภาพจิตผู้สูงวัย
|